เด็กที่มีสุขภาพดี และมีความสุขจะต้องมีการเจริญเติบโตทางร่างกาย สมอง เชาวน์ปัญญา อารมณ์ และมีการพัฒนาทางพฤติกรรมต่อสังคมอย่างประสมประสานกัน สิ่งที่ใช้ประเมินการเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็ก ดูได้จาก ๒ ด้าน คือ
๑. การเติบโตทางร่างกาย ซึ่งสามารถวัดได้
๒. การพัฒนา คุณภาพ หรือหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ซึ่งแสดงออกมาในด้านพฤติกรรม
การประเมินสองด้านนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยที่การเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคนอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยต่างๆ เช่น การถ่ายทอดพันธุกรรมจากพ่อแม่ สภาพโภชนาการ การเจ็บป่วย การศึกษาของตัวเด็กเอง คุณภาพทางอารมณ์ของบุคคล ตลอดจนสภาพแวดล้อมภายในบ้าน อุปกรณ์สำหรับเด็ก เสื้อผ้าเด็ก และสภาพของ สังคม ภูมิประเทศที่เด็กอาศัยอยู่ ดังนั้น แม้แต่พี่น้องท้องเดียวกัน ก็อาจมีการการเจริญเติบโต และพัฒนาการแตกต่างกันได้ แต่ก็ สามารถกำหนดมาตรฐานปกติ ตลอดจนค่าที่อาจแตกต่างได้ จากการศึกษาเป็นจำนวนมาก
วิธีการที่ใช้วัดการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กในปัจจุบัน มีดังนี้
ก. การวัดการเจริญทางร่างกาย
๑. น้ำหนัก
การชั่งน้ำหนักเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนทำได้ง่าย เด็กที่มีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว แสดงว่าสุขภาพ และโภชนาการไม่ดี การชั่งน้ำหนักหลายๆ ครั้ง แล้วนำมาเปรียบเทียบถึงการเปลี่ยนแปลงจะมีประโยชน์ และทราบสภาพของเด็กได้ดีกว่าการชั่งน้ำหนักเด็กครั้งเดียว เด็กที่อ้วนฉุ มีน้ำหนักมาก ไม่ได้หมายความว่า เด็กคนนั้นมีสุขภาพดี เด็กที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์จะมีสุขภาพดีกว่าเด็กอ้วนฉุ และปวกเปียก
๒. ส่วนสูง
การวัดส่วนสูงแสดงถึงการเจริญเติบโตของร่างกายที่แน่นอนอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงทางความสูงจะเกิดขึ้นช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เด็กที่สูงช้ากว่าปกติแสดงว่า มีสภาพโภชนาการไม่สมบูรณ์เป็นระยะเวลานานพอสมควร เช่น วัยทารก จะใช้เวลาประมาณ ๒-๓ เดือน จึงจะเห็นว่า ความสูงช้ากว่าปกติ การวัดความสูงทำให้ได้ความแน่นอนยากกว่าการชั่งน้ำหนัก เด็กอายุต่ำกว่า ๒ ปี ต้องนอนวัด และมีผู้ช่วยคอยจับ
๓. ขนาดของสมอง
สมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงแรกของชีวิต การประเมินขนาดของสมองอาจทำได้โดยการวัดความยาว ของเส้นรอบศีรษะ ในเด็กปกติแรกคลอดมีความยาวประมาณ ๓๕ เซนติเมตร เมื่ออายุ ๑ ปี จะยาว ๔๗ เซนติเมตร จากอายุ ๑ ปีจนถึง ๒ ปี จะยาวขึ้นเพียง ๒-๓ เซนติเมตร และมีขนาดประมาณ ๕๕ เซนติเมตร เมื่ออายุ ๖ ปี เมื่ออายุครบ ๑ ปี เซลล์ของสมองจะมีการเจริญเกือบสมบูรณ์ แต่ทำหน้าที่ยังไม่สมบูรณ์ การทำงานของสมองจะดีหรือไม่ขึ้นกับที่สมองได้รับอาหาร การกระตุ้น และการใช้อย่างถูกต้อง
๔. เนื้อหนัง
ลักษณะของผิวหนังและเนื้อทั่วไป จะบอกถึงสภาพโภชนาการว่าดีหรือเลวได้ เช่น ผิวตึง เนื้อเป่ง แขนขาเป็นปล้อง แสดงถึงความสมบูรณ์ พวกผิวหนังแห้ง มีรอยย่นตามยาวของแขนขาคล้ายริ้วปลาแห้ง มีกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ผิวหนังน้อย กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก แสดงถึงสภาพโภชนาการไม่ดี การดูสภาพเนื้อหนังนี้ เราสามารถวัดได้โดยวัดเส้นรอบวงแขน วัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง หรือวัดขนาดของกล้ามเนื้อ
๕. ฟัน
ฟันชุดแรกของเด็ก เรียกว่า "ฟันน้ำนม" มี ๒๐ ซี่ จะเริ่มขึ้นตั้งแต่อายุ ๖ เดือน และขึ้นครบเมื่ออายุประมาณ ๒๔-๓๐ เดือน การขึ้นของฟันจะมีอันดับก่อนหลังของแต่ละซี่ โดยเริ่มจากฟันหน้ากลางล่าง และสิ้นสุดที่ฟันกรามหัก การงอกของฟันจะขึ้นกับสภาพโภชนาการของเด็ก เด็กที่ได้รับโภชนาการเลว ฟันจะขึ้นช้า ฟันชุดที่สองเรียกว่า "ฟันแท้" มีจำนวน ๓๒ ซี่ จะเริ่มขึ้นเมื่ออายุ ๖ ปี ที่ฟันหน้าบนก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แทนฟันน้ำนมที่หลุดไปกล่องเก็บฟันน้ำนม
๑. การเติบโตทางร่างกาย ซึ่งสามารถวัดได้
๒. การพัฒนา คุณภาพ หรือหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ซึ่งแสดงออกมาในด้านพฤติกรรม
การประเมินสองด้านนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยที่การเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคนอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยต่างๆ เช่น การถ่ายทอดพันธุกรรมจากพ่อแม่ สภาพโภชนาการ การเจ็บป่วย การศึกษาของตัวเด็กเอง คุณภาพทางอารมณ์ของบุคคล ตลอดจนสภาพแวดล้อมภายในบ้าน อุปกรณ์สำหรับเด็ก เสื้อผ้าเด็ก และสภาพของ สังคม ภูมิประเทศที่เด็กอาศัยอยู่ ดังนั้น แม้แต่พี่น้องท้องเดียวกัน ก็อาจมีการการเจริญเติบโต และพัฒนาการแตกต่างกันได้ แต่ก็ สามารถกำหนดมาตรฐานปกติ ตลอดจนค่าที่อาจแตกต่างได้ จากการศึกษาเป็นจำนวนมาก
วิธีการที่ใช้วัดการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กในปัจจุบัน มีดังนี้
ก. การวัดการเจริญทางร่างกาย
๑. น้ำหนัก
การชั่งน้ำหนักเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนทำได้ง่าย เด็กที่มีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว แสดงว่าสุขภาพ และโภชนาการไม่ดี การชั่งน้ำหนักหลายๆ ครั้ง แล้วนำมาเปรียบเทียบถึงการเปลี่ยนแปลงจะมีประโยชน์ และทราบสภาพของเด็กได้ดีกว่าการชั่งน้ำหนักเด็กครั้งเดียว เด็กที่อ้วนฉุ มีน้ำหนักมาก ไม่ได้หมายความว่า เด็กคนนั้นมีสุขภาพดี เด็กที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์จะมีสุขภาพดีกว่าเด็กอ้วนฉุ และปวกเปียก
๒. ส่วนสูง
การวัดส่วนสูงแสดงถึงการเจริญเติบโตของร่างกายที่แน่นอนอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงทางความสูงจะเกิดขึ้นช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เด็กที่สูงช้ากว่าปกติแสดงว่า มีสภาพโภชนาการไม่สมบูรณ์เป็นระยะเวลานานพอสมควร เช่น วัยทารก จะใช้เวลาประมาณ ๒-๓ เดือน จึงจะเห็นว่า ความสูงช้ากว่าปกติ การวัดความสูงทำให้ได้ความแน่นอนยากกว่าการชั่งน้ำหนัก เด็กอายุต่ำกว่า ๒ ปี ต้องนอนวัด และมีผู้ช่วยคอยจับ
๓. ขนาดของสมอง
สมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงแรกของชีวิต การประเมินขนาดของสมองอาจทำได้โดยการวัดความยาว ของเส้นรอบศีรษะ ในเด็กปกติแรกคลอดมีความยาวประมาณ ๓๕ เซนติเมตร เมื่ออายุ ๑ ปี จะยาว ๔๗ เซนติเมตร จากอายุ ๑ ปีจนถึง ๒ ปี จะยาวขึ้นเพียง ๒-๓ เซนติเมตร และมีขนาดประมาณ ๕๕ เซนติเมตร เมื่ออายุ ๖ ปี เมื่ออายุครบ ๑ ปี เซลล์ของสมองจะมีการเจริญเกือบสมบูรณ์ แต่ทำหน้าที่ยังไม่สมบูรณ์ การทำงานของสมองจะดีหรือไม่ขึ้นกับที่สมองได้รับอาหาร การกระตุ้น และการใช้อย่างถูกต้อง
๔. เนื้อหนัง
ลักษณะของผิวหนังและเนื้อทั่วไป จะบอกถึงสภาพโภชนาการว่าดีหรือเลวได้ เช่น ผิวตึง เนื้อเป่ง แขนขาเป็นปล้อง แสดงถึงความสมบูรณ์ พวกผิวหนังแห้ง มีรอยย่นตามยาวของแขนขาคล้ายริ้วปลาแห้ง มีกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ผิวหนังน้อย กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก แสดงถึงสภาพโภชนาการไม่ดี การดูสภาพเนื้อหนังนี้ เราสามารถวัดได้โดยวัดเส้นรอบวงแขน วัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง หรือวัดขนาดของกล้ามเนื้อ
๕. ฟัน
ฟันชุดแรกของเด็ก เรียกว่า "ฟันน้ำนม" มี ๒๐ ซี่ จะเริ่มขึ้นตั้งแต่อายุ ๖ เดือน และขึ้นครบเมื่ออายุประมาณ ๒๔-๓๐ เดือน การขึ้นของฟันจะมีอันดับก่อนหลังของแต่ละซี่ โดยเริ่มจากฟันหน้ากลางล่าง และสิ้นสุดที่ฟันกรามหัก การงอกของฟันจะขึ้นกับสภาพโภชนาการของเด็ก เด็กที่ได้รับโภชนาการเลว ฟันจะขึ้นช้า ฟันชุดที่สองเรียกว่า "ฟันแท้" มีจำนวน ๓๒ ซี่ จะเริ่มขึ้นเมื่ออายุ ๖ ปี ที่ฟันหน้าบนก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แทนฟันน้ำนมที่หลุดไปกล่องเก็บฟันน้ำนม